มิเตอร์วัดปุ๋ย (EC Meter)
ขออนุญาต ไขข้อข้องใจ ของหลายๆ ท่านที่ กำลังคิดว่าจะเอาอย่างไรกับ ชีวิตเกษตรไฮโดรฯ ของตัวเองดี เสียตังค์ซื้อ ec meter แล้ว ชีวิตจะดีขึ้นมั้ย? ถ้าไม่มี EC meter จะปลูกผักโตมั้ย? ซื้อ EC meter จะคุ้มมั้ย? บทความนี้ผมตอบให้ครับ ^___^
ค่าตัวเลขที่วัดได้จาก EC meter จะมีค่า อยู่ระหว่าง 0.00 – 19.99 ms/cm นะครับ ซึ่งหน่วย มาจาก มิลลิซีเมนต์/เซ็นติเมตร นะครับ โดยหลักการแล้ว ค่าที่วัดได้จาก EC meter เป็นค่าความนำไฟฟ้านะครับ โดยมีหลักการที่ว่า ถ้าวัดในน้ำปุ๋ย แล้วได้ค่าความนำไฟฟ้ามาก ก็แสดงว่า มีค่าปุ๋ยมากเช่นกัน
ต่อไปนี้ ค่าที่วัดจาก EC meter ผมขอเรียกว่า “ค่า EC” นะครับ
ก่อนที่จะนำน้ำมาใช้ปลูกผักไฮโดรฯ ควรจะวัดค่า EC น้ำเปล่าก่อนนะครับ ถ้า EC เกิน 0.3 ms/cm ไม่แนะนำให้ใช้นะครับ ควรหาน้ำ ที่ค่า EC ต่ำกว่า 0.3 ms/cm มาใช้ เช่นน้ำดื่มถังขุ่นๆ ที่หลายๆ คนรู้จัก
น้ำประปา มาตรฐาน (นครหลวง ภูมิภาค) ค่า EC ประมาณ 0.24-0.28 ms/cm ใช้ได้
น้ำประปา บาดาล ค่า EC ประมาณ 0.8 – 1.2 ms/cm ไม่ควรใช้
น้ำจากเครื่องกรอง RO (Reverse Osmosis) ค่า EC ประมาณ 0.00-0.03ใช้ได้
พอจะทราบกันแล้วนะครับ ว่าน้ำไหนควรไม่ควรใช้
โดยปกติ EC meter จะถูกนำมาใช้ ในการชดเชยน้ำปุ๋ย ในถังปุ๋ยนะครับ ในแต่ละวันผู้ปลูกควรจะเอามิเตอร์มาเช็ค ค่า EC ของน้ำในถังปุ๋ย โดยที่ การปลูกผักชนิดต่างๆ จะต้องใช้ปุ๋ย ต่างระดับกันดังต่อไปนี้
ผักสลัด ใช้ EC ประมาณ 1.4 – 2.0 ms/cm
ผักไทย ยกเว้นคะน้า ใช้ EC ประมาณ 2.0-2.5 ms/cm
ผักคะน้า ใช้ EC ประมาณ 4.0 -4.5 ms/cm
ซึ่งสัดส่วนของปุ๋ยน้ำ ต่อ น้ำ จะอยู่ที่ 3 ซีซี ต่อน้ำ 1 ลิตร หรือ 30 ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตร ซึ่งจะได้ ค่า EC ประมาณ 1.45 ms/cm ซึ่งเป็นค่าในช่วงการปลูกผักสลัด
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การปลูกผัก โดยไม่ใช้ EC meter ก็สามารถทำได้ครับ สำหรับไฮโดรอินโฮม ลูกค้ามากกว่า 50% ไม่ใช้ EC meter นะครับ จะใช้วิธีการชดเชยปุ๋ย ตามที่ ทางไฮโดรอินโฮมแนะนำ
นั่นคือ การชดเชยปุ๋ย มี 4 กรณี
1. ใส่ปุ๋ยวันที่ 1 ของการลงแปลง สัดส่วน 30 ซีซี ต่อน้ำ 10 ลิตร (สำหรับผักสลัด) ส่วนผักไทย 2 เท่า คะน้า 4 เท่า
2. ช่วงวันที่ 2-7 ของการลงแปลง น้ำในถังยุบ ชดเชย น้ำเปล่าอย่างเดียว
3. ช่วงวันที่ 8-27 ของการลงแปลง น้ำในถังยุบ ประมาณ 1 ฝ่ามือแนวนอน (10 ลิตร) ชดเลยน้ำ 1 ฝ่ามือ ใส่ปุ๋ย อย่างละ 30 ซีซี (ปุ๋ย A 30 ซีซี ปุ๋ย B 30 ซีซี)
4. ช่วงวันที่ 28-30 ของการลงแปลง ถ่ายน้ำปุ๋ยในระบบออก ไปรดน้ำต้นไม้ เติมน้ำเปล่า เปิดปั๊ม เลี้ยงผัก เราเรียกว่า “ช่วงเลี้ยงน้ำเปล่า” เพื่อลดการตกค้างของปุ๋ย แต่ไม่เลี้ยงก็ทานได้นะครับ เนื่องจากประเทศที่มีแดดจัด ปุ๋ยที่ตกค้างจะสลายตามธรรมชาติ เมื่อได้รับแสงแดดนะครับ
หมายเหตุ ส่วนใหญ่ ผู้บริโภคผัก จะกังวล 2 เรื่องนะครับ 1. เรื่องปุ๋ยตกค้าง 2. เรื่องยาฆ่าแมลง
เรื่องปุ๋ยตกค้าง การปลูกพืช ทุกแบบ มีปุ๋ยตกค้างหมดครับ ไม่ว่าจะเป็นบนดิน ไฮโดรฯ ออร์แกนิก แต่โดยธรรมชาติแล้ว พื้นที่เพาะปลูกที่มีแดดจัด จะไม่มีปุ๋ยตกค้าง ที่เกินค่าอันตราย ครับ และนอกจากนั้น การปลูกผักไฮโดร ยังสามารถ เลี้ยงน้ำเปล่าในช่วง 2-3 วันสุดท้ายได้อีกด้วย ซึ่ง ค่อนข้างปลอดภัยนะครับ
เรื่องยาฆ่าแมลง ปกติผักไฮโดร จะกางมุ้ง ครับ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะปลอดยาฆ่าแมลง 100% ครับ แต่กรณีของผักที่ปลูกบนดิน รวมทั้งผักที่เข้าไปอยู่ในถุงที่ติดป้ายออร์แกนิก ตรวจสอบยากครับ ตราบใดที่ การปลูกยังอยู่บนดิน และโดยมากไม่ได้กางมุ้ง ถ้าทำในเชิงพานิชย์ สิ่งที่เสี่ยงก็คือ ถ้าเกษตรกร แอบใช้ แล้วใครจะรู้ครับ : ( ต้องอย่าลืมว่า โลโก้ มาตรฐานต่างๆ ไม่ได้ตรวจผักทุกต้นนะครับ ดังนั้น จะให้ดี ปลูกทานเอง ครับ ไม่ว่าจะปลูกด้วยวิธีไหนก็ตาม และก็ไม่จำเป็นต้องไฮโดรโปนิกส์ ครับ ปลูกแบบไหนก็ได้ นี่ผมก็ว่าจะปลูกผักบุ้งบนดินไว้ให้แม่ผัดให้ทานเหมือนกัน : )
สรุปนะครับ
1. ปลูกผักไว้ทาน แปลง สองแปลง ไม่ต้องใช้มิเตอร์หรอกครับ เปลืองตังค์
2. ถ้าคิดจะจริงจัง ในการปลูกผักไฮโดร แล้วรู้สึกว่า ราคา 1750 บาท พอจ่ายได้ก็ซื้อไว้ครับ คุ้ม ตอนผมเริ่มต้นปลูก แปลงแรก ผมก็ซื้อไว้ตัวนึง เมื่อเกือบ 3 ปี ก่อน ราคาก็ประมาณที่ผมจำหน่ายอยู่เนี่ยแหละครับ